247
สธ. ห่วงเด็กฟันผุเพิ่มขึ้น เหตุกินขนมเลียนแบบแปรงสีฟัน-ยาสีฟันน้ำเชื่อม

สธ. ห่วงเด็กฟันผุเพิ่มขึ้น เหตุกินขนมเลียนแบบแปรงสีฟัน-ยาสีฟันน้ำเชื่อม

โพสต์เมื่อวันที่ : April 5, 2022

 

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ห่วงเด็กกินขนมเลียนแบบแปรงสีฟัน-ยาสีฟันน้ำเชื่อม อาจทำให้เกิดฟันผุ 

 

วันที่ 3 เมษายน 2565 นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากกรณีที่มีการโฆษณาขายขนมลูกอมที่มีลักษณะเลียนแบบแปรงสีฟันและยาสีฟันที่มีส่วนผสมของน้ำเชื่อม อาจทำให้เด็กและผู้ปกครองเกิดความเข้าใจผิดคิดว่าขนมชนิดนี้มีประโยชน์ช่วยทำความสะอาดฟันและซื้อมากินโดยไม่มีการแปรงฟัน เสี่ยงเกิดฟันผุเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากขนมมีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบหลักเป็นแหล่งอาหารของเชื้อจุลินทรีย์ที่ผิวฟันนำไปใช้สร้างกรดกัดกร่อนฟัน

 

รวมทั้งขนมชนิดนี้ยังมีกรดรสเปรี้ยว ซึ่งมีฤทธิ์กัดกร่อนผิวฟัน โดยเฉพาะในฟันน้ำนมที่เพิ่งขึ้นมาในช่องปากได้ไม่นาน ซึ่งมีการสะสมแร่ธาตุไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้เกิดฟันผุได้ง่าย รวมทั้งอาจทำให้เด็กติดรสหวานและเปรี้ยวของขนมชนิดนี้ ทำให้เมื่อแปรงฟันด้วยยาสีฟันทั่วไปอาจไม่ถูกใจรสชาติและรบเร้าผู้ปกครองให้ซื้อขนมชนิดนี้มาแปรงฟันแทนยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ อาจทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพช่องปากเด็กในระยะยาว

 

ทั้งนี้อาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่า ยาสีฟันที่ใช้แปรงฟันสามารถกินได้ จนเกิดการกลืนยาสีฟัน ขณะแปรงฟัน หรือนำมาบีบกินเล่น จนเกิดอันตรายจากการได้รับปริมาณฟลูออไรด์ที่สูงเกินไปได้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง จึงควรใส่ใจในการเลือกซื้อขนมที่เหมาะสมกับเด็กอย่างใกล้ชิด รวมถึงดูแลสุขภาพช่องปาก ที่ถูกวิธี เพื่อให้เด็กมีฟันที่แข็งแรงตามวัย

 

ทางด้านทันตแพทย์หญิงวรางคนา เวชวิธี ผู้อำนวยการสำนักทันตสาธารณสุข กล่าวว่า ขนมที่มีประโยชน์สำหรับเด็ก ควรเป็นขนมหวานน้อย ไม่เหนียวติดฟัน โดยแนะนำให้กินขนมในมื้ออาหารไม่เกิน 2 ครั้งต่อวัน ที่สำคัญภายหลังกินขนมควรแปรงฟันด้วยสูตร 2 - 2 - 2 

:: สูตร 2-2-2 ::

1. แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอนด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์

 

2. แปรงฟันนานครั้งละ 2 นาทีขึ้นไป เพื่อให้มั่นใจว่าแปรงฟันได้สะอาดทั่วทั้งปาก ทุกซี่ และทุกด้าน และเป็นการให้เวลาฟลูออไรด์ในยาสีฟันจับกับผิวเคลือบฟันเพื่อป้องกันฟันผุ 

 

3. งดกินอาหารและเครื่องดื่มหลังแปรงฟัน 2 ชั่วโมง เพื่อให้ช่องปากสะอาดนานที่สุด ส่งผลต่อสุขภาวะของฟันและเหงือกที่ดี

 

ข้อมูลจาก กรมอนามัย