581
เราคุยกับลูกครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ ?

เราคุยกับลูกครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ ?

โพสต์เมื่อวันที่ : September 8, 2020

 

เมื่อถามว่า “คุยกับลูกครั้งล่าสุดเมื่อไร ?” คุณพ่อคุณแม่หลาย ๆ ท่านจะตอบทันทีว่า “เมื่อเช้านี้เอง ก่อนส่งเขาไปโรงเรียน”

 

ขอถามต่ออีกว่า “แล้วเราคุยกับลูกเรื่องอะไร ?” คำตอบที่ได้รับกลับมาส่วนใหญ่ คือ คุยกับลูกเรื่อง "ปลุกให้เขาตื่น และลงมากินข้าว" "เตือนเขาไม่ให้ลืมของ" "การบ้านที่ต้องเอาไปส่งครู" และอื่น ๆ ที่เริ่มคลับคล้ายคลับคลาจะเป็นการ "บ่น" เข้าไปเสียทุกที

 

ถ้าหากขยายความ นิยามของ "การพูดคุย” ว่า “การพูดคุย” คือ การแลกแปลี่ยนความคิดเห็นที่ทั้งสองฝ่ายสนใจร่วมกัน โดยระหว่างพูดคุยจะมีการโต้ตอบกันของทั้งสองฝ่าย” ส่วนนิยามของ “การบ่น” คือ การระบายความรู้สึกของความคับข้องใจที่มีต่อบางสิ่งบางอย่างออกมาในลักษณะของการพูดอยู่ฝ่ายเดียว และอีกฝ่ายทำได้เพียงรับฟัง

 

 

คุณพ่อคุณแม่หลายท่าน อาจจะพอแยกแยะได้แล้วว่า “ที่ผ่านมาเราคุยกับลูก” หรือ “เราบ่นลูก” กันแน่ เมื่อตระหนักรู้แล้วว่า เรายังไม่ค่อยได้พูดคุยกับลูกเท่าไหร่นัก และเรายังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นคุยกับลูกอย่างไรดี ให้เราเริ่มต้นจาก...

 

  • การฟัง เราเลือกฟังเขาก่อน แล้วค่อยพูดในสิ่งที่เราอยากบอกเขาก็ไม่สายเกินไป แต่ถ้าเราพูดในสิ่งที่เราคิดไปก่อน ลูกอาจจะหยุดและไม่พูดในสิ่งที่เขาอยากบอกก็เป็นได้ บทสนทนาระหว่างเรากับลูกจะยุติทันที

 

  • การทำความรู้จักลูก เพราะลูกเราเติบโตขึ้นทุกวัน ดังนั้นขอให้เปิดใจทำความรู้จักกับลูกเราในปัจจุบันดู ว่า เขาเป็นเช่นไร และกำลังสนใจอะไรอยู่

 

  • สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและปลอดภัย บรรยากาศที่ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง หากลูกกลับบ้านมาเจออาหารและเครื่องดื่มที่เราเตรียมไว้ให้สำหรับเขา และเจอพ่อแม่ที่ยิ้มแย้ม เขาคงอยากที่จะนั่งลง และพูดคุยกับเรามากขึ้น

 

  • คำถามปลายเปิด คำถามที่ดีควรเป็นคำถามปลายเปิด อย่าถามเพียง “ใช่หรือไม่” เพราะลูกจะไม่สามารถอธิบายหรือบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เขามีได้

 

ยกตัวอย่างแนวคำถาม

สำหรับลูกปฐมวัย พ่อแม่อาจจะถามเขาว่า...

 

Q1: “วันนี้ทำอะไรสนุก ๆ มาบ้าง ?”
Q2: “ช่วงนี้ลูกชอบทำอะไร ?”
Q3: “ลูกกับเพื่อน ๆ ทำอะไรที่โรงเรียนบ้าง ?”
Q4: “เย็นนี้ถ้าทำการบ้านเสร็จแล้ว เราทำอะไรกันดี ?”

 

สำหรับลูกวัยรุ่นนั้น เราอาจจะปรับแนวคำถามสักเล็กน้อย

 

Q1: “วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ?”
Q2: “ช่วงนี้ลูกสนใจเรื่องอะไร เผื่อพ่อกับแม่จะได้ไปลองดูบ้าง"
Q3: “ช่วงนี้ลูกกังวลใจเรื่องอะไร ?”
Q4: “มีอะไรที่พ่อกับแม่จะช่วยลูกได้บ้าง ?”

 

 

  • อย่าเริ่มต้นการพูดคุยด้วย “คำบ่น” หรือ “การสอนสั่ง” เพราะคงไม่มีลูกคนไหนอยากพูดคุยกับพ่อแม่ที่มีความคิดทางลบเกี่ยวกับตัวเขา เราเปิดโอกาสให้เขาพูดให้เราฟัง แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เราไม่ชอบ ไม่เห็นด้วย อยากจะสอน อยากจะบอกแค่ไหนก็ตาม เพราะเมื่อเขาพูดจบเรายังมีโอกาสบอกเขาไป

 

 

ทำไมการพูดคุยกับลูกจึงสำคัญนัก ?

คำตอบคือ “ความเชื่อใจ” “ความไว้ใจ” “ความสัมพันธ์” เกิดขึ้นได้จากการพูดคุย และรับฟัง เด็กเรียนรู้ว่า “พ่อกับแม่” เป็นบุคคลที่เขาสามารถพูดคุยด้วยได้ และเป็นคนที่สามารถเป็นที่ปรึกษา และช่วยเหลือเขาได้ในยามที่เขาประสบกับปัญหาในชีวิต

 

ไม่มีลูกคนไหนที่อยากบอกเรื่องราวที่เป็นปัญหาให้พ่อแม่ที่บ่นเขาเพียงอย่างเดียว เด็กทุกคนทำผิดพลาด (ผู้ใหญ่เราก็เช่นกัน) เขารู้ตัวว่า “ตนเองทำผิดพลาด” เขาได้รับบทลงโทษจากความผิดพลาดนั้นแล้ว แต่การที่เขานำมาบอกพ่อแม่ เขายินดียอมรับการตำหนิ เพราะเขาต้องการความช่วยเหลือ พ่อแม่มีสิทธิ์โกรธ แต่ได้โปรด “อย่าซ้ำเติมเขาและทำร้ายเขาด้วยการพูดที่รุนเเรง”

 

พ่อแม่ควรให้ความช่วยเหลือเขา และสอนเขา เด็กจะเรียนรู้จากการสอนเพื่อไม่ทำผิดซ้ำอีก ที่สำคัญเมื่อเขาเรียนรู้ว่า พ่อแม่คือบุคคลที่เขาสามารถเชื่อใจและช่วยเหลือเขาได้ ครั้งหน้าถ้าเกิดปัญหาใหม่เข้ามา เขาจะกล้าปรึกษาพ่อแม่ และกลับมาหาเราในวันที่เขาไม่เหลือใคร เพราะพ่อแม่เป็นพื้นที่ปลอดภัยและที่พึ่งทางใจสำหรับเขาเสมอ

 

สุดท้ายหากเราพูดคุยและรับฟังลูกเรื่อยมาตั้งแต่ในวันที่เขายังเป็นเด็ก ลูกจะเติบโตขึ้นมาและกล้าที่จะนำเรื่องสำคัญหรือปัญหาในชีวิตของเขามาปรึกษาเรา ดังนั้นในวันที่เรายังมีโอกาส “ขอให้พูดคุยกับลูกและรับฟังในสิ่งที่เขาพูด แม้ว่าจะเป็นเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ตาม”

 

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง