
เบื้องหลังของเด็กที่เชื่อมั่นในตัวเอง คือ พ่อแม่ที่เชื่อมั่นในตัวเขาก่อน
แม้ในวันข้างหน้าที่ลูกก้าวออกไปสู่โลกกว้าง หนทางสู่ฝั่งฝันอาจจะอีกยาวไกล
บันไดขั้นแรกในชีวิตของลูกจะมั่นคงได้ เมื่อพ่อแม่ “มีอยู่จริง” ผ่านการสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูก บันไดขั้นต่อมา คือการที่ลูก รับรู้ความสามารถทางร่างกายของตนเอง และตระหนักว่า ตนเองสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยตัวเอง
ตามทฤษฎีพัฒนาการทางจิตสังคม (Psychosocial Development) ของ อีริค อีริคสัน นักจิตวิทยาชาวเยอรมัน ได้กล่าวไว้ว่า“พัฒนาการขั้นที่สองของมนุษย์ (วัย 2–3 ปี) คือ ความเป็นตัวของตัวเอง (Autonomy)”
เด็กวัยนี้เริ่มมีอิสรภาพทางร่างกายมากขึ้น เขาสามารถคลาน เดิน วิ่ง และหยิบจับสิ่งของได้อย่างรวดเร็ว เพราะกล้ามเนื้อเริ่มแข็งแรงพอจะเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเอง แต่อย่างไรก็ตาม... เด็กในวัยนี้ยัง กะน้ำหนักมือไม่แม่น และยัง ไม่คล่องแคล่วมากนัก จึงอาจเผลอทำน้ำหก ของตกหล่น จับของแล้วบีบแรงจนเละคามือ หรือหกล้มบ่อย ๆ
ดังนั้น ความสามารถทางร่างกายที่พัฒนาแล้ว จำเป็นต้องมีสิ่งที่พัฒนาเคียงคู่กันไป คือ “การควบคุมร่างกายของตนเอง” ซึ่งทักษะนี้จะค่อย ๆ เติบโตขึ้น เมื่อเด็กได้ลงมือทำจริง และฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ
ภารกิจที่สำคัญของพ่อแม่และผู้ใหญ่ในช่วงวัยนี้ คือ "การสอนเด็กให้ช่วยเหลือตัวเองตามวัย (Self-care)" เพื่อให้เขาได้ฝึกฝนการทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเอง กิจกรรมที่เด็กสามารถเริ่มเรียนรู้ ได้แก่
แน่นอนว่าเรา ไม่คาดหวังให้เด็กวัย 2 - 3 ปีทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะจุดประสงค์ไม่ใช่ผลลัพธ์ที่ไร้ที่ติ แต่คือ การเรียนรู้และลงมือทำทุกขั้นตอนด้วยตัวเขาเอง เมื่อเด็กทำเสร็จ พ่อแม่หรือผู้ใหญ่มีหน้าที่ ดูแล ตรวจสอบ และช่วยย้ำในจุดที่ยังไม่ครบถ้วน (พ่อแม่สามารถช่วยย้ำในบริเวณที่เขาทำไม่ถึงได้อีกครั้ง) เช่น
...“เมื่อลูกทำได้ด้วยตนเอง อย่าลืมชื่นชมทุกก้าวเล็ก ๆ ของเขา เพราะทุกกำลังใจจากพ่อแม่ มีความหมายเสมอ”...
สิ่งสำคัญอีกประการสำหรับพ่อแม่ที่มีลูกวัยนี้ คือ "ความอดทนรอคอย" หากเรารีบเข้าไปช่วยลูกเร็วเกินไป เด็กจะขาดโอกาสในการฝึกฝนตนเอง และอาจเลือกที่จะ ไม่พยายามทำอีก
เพราะเขารู้ว่า “พ่อแม่พร้อมจะทำให้เขาเสมอ” และยิ่งไปกว่านั้น เด็กจะรับรู้ว่า “พ่อแม่ไม่มีความอดทนเพียงพอที่จะรอเขา”
กฎ 5 นาที คือ การชะลอเวลาก่อนเข้าไปช่วยเหลือลูกโดยให้เวลาลูก ลงมือทำด้วยตัวเองก่อน 5 นาที หากเมื่อครบเวลาแล้วลูกยังทำไม่ได้ ค่อยเข้าไป “สอน” หรือ “ช่วยแนะนำ”
ในกรณีที่ลูกไม่อยากทำหรือไม่ยอมลงมือทำเลย เราสามารถพูดกับลูกอย่างชัดเจนว่า “ลูกลองพยายามทำเองก่อน 5 นาทีนะ ถ้าลูกทำไม่ได้ พ่อ/แม่จะเข้าไปช่วย ‘สอน’" (ย้ำว่าเข้าไปสอน ไม่ใช่ทำให้เขาเลย)
ขั้นตอนการสอนที่ดีที่สุด
เมื่อเด็กรับรู้ว่า “ตนเองสามารถทำสิ่งใดได้ด้วยตนเอง” เขาจะเกิด ความภาคภูมิใจ รับรู้ถึง ความสามารถของตนเอง ซึ่งนำไปสู่ ความรู้สึกเป็นตัวของตัวเอง (Sense of Autonomy) และการควบคุมตนเอง (Self-control)
ในทางตรงกันข้าม หากพ่อแม่ ปกป้องลูกมากเกินไป ห้ามลูกทำโน่นทำนี่ หรือไม่ให้ลูกได้ลองทำอะไรเองตามวัย หรือพ่อแม่ ตำหนิทุกครั้ง ที่ลูกทำผิดพลาด จนทำให้ลูกไม่กล้าทำอะไรด้วยตนเอง และรอคำสั่งจากผู้ใหญ่ตลอดเวลา สิ่งที่เกิดขึ้น คือ เด็กจะเริ่ม “สงสัยในตัวเอง” ว่าแท้จริงแล้ว... เขาทำอะไรได้บ้าง ? ความสงสัยเหล่านี้จะค่อย ๆ ก่อร่างเป็น ความวิตกกังวล และความไม่มั่นใจในตนเอง (Shame and Doubt) ในเวลาต่อมา
ปัญหาที่ตามมาของเด็กทั้งสองรูปแบบ คือ เด็กอาจปรับตัวยาก เมื่อเข้าสู่โรงเรียนหรือสังคมภายนอก เขาอาจไม่กล้าลองสิ่งใหม่ เพราะ ไม่มั่นใจในความสามารถของตนเอง ไม่เชื่อว่าตนเองสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ หรือทำได้ โดยไม่ต้องมีใครมาช่วยตลอดเวลา
แม้ว่าการฝึกให้ลูกช่วยเหลือตัวเองในช่วงแรก อาจทำให้บ้านเลอะเทอะบ้าง หรือร่างกายลูกอาจจะไม่สะอาดเอี่ยมอย่างที่คาดหวัง ขอให้พ่อแม่และผู้ใหญ่ “มองข้ามจุดนี้ไป” และเปิดโอกาสให้ลูกได้ลองทำด้วยตัวเองอย่างเต็มที่ หลังจากนั้น ค่อยชวนเขามาช่วยกันเก็บกวาด หรือสอนเพิ่มเติมในเรื่องการดูแลความสะอาดร่างกายอย่างเหมาะสม เมื่อเด็กได้ ฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เขาจะทำได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็น ความชำนาญ และ ความมั่นใจในตนเอง ที่จะติดตัวเขาไปในอนาคต
ให้เด็ก ๆ ได้เล่นโดยใช้ร่างกายให้มากที่สุด เพื่อส่งเสริมการพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก - มัดใหญ่ให้แข็งแรง พร้อมสำหรับการใช้งานในช่วงวัยถัดไป อย่าเพิ่งรีบเร่งเรื่องการอ่านเขียนเป็นสิ่งสำคัญ
ตัวอย่างกิจกรรมที่แนะนำ
การเล่นเหล่านี้ทำให้เด็กได้ ทดสอบและเรียนรู้การใช้ร่างกายของตนเอง ส่งเสริมให้กล้ามเนื้อทำงานเต็มที่ และเกิดความแข็งแรงจากการใช้งานจริง เด็กที่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ ไม่เพียงแต่จะทำให้พ่อแม่สบายใจเมื่อลูกต้องก้าวไปสู่โลกภายนอก แต่ยังเป็นการ สร้างความมั่นใจภายในตัวเด็กเองว่า “เขาสามารถทำได้” เด็กจะพร้อมเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ อย่างมีความสุข เพราะ “ฐานรากทางร่างกายและจิตใจของเขามั่นคงและแข็งแรง” แล้วนั่นเอง
✱ ติดตามข่าวสารและกิจกรรม Thai PBS Kids ได้ทาง Website | Facebook | Youtube | LINE Official ✱
อ้างอิง : Widick, C., Parker, C. A., & Knefelkamp, L. (1978). Erik Erikson and psychosocial development. New directions for student services, 1978(4), 1-17.