อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก
สิทธิของเด็กที่ถูกกระทำด้วยความรุนแรง
พ่อแม่ที่ลูกไว้วางใจได้ คือ บ้านที่พักใจสำหรับลูก แต่บ้านสำหรับเด็กบางคน อาจจะไม่ได้มีทั้งพ่อและแม่ แต่มีเพียงผู้ใหญ่เพียงคนเดียวก็สามารถเติมเต็มใจให้กับเขาได้เช่นกัน หากผู้ใหญ่คนนั้นสามารถเติมเต็มความรักที่ปราศจากเงื่อนไข และปัจจัยทั้งสี่ให้กับเด็กน้อยได้
สำหรับเด็กเล็ก ๆ อาจจะต้องการบ้านที่เขาสามารถดูแลและตอบสนองต่อความต้องการพื้นฐาน กินอิ่ม นอนหลับ สอนสิ่งต่างๆ ให้กับเขาได้ แต่เมื่อเด็กเติบโตเป็นวัยรุ่น พวกเขาต้องการบ้านที่เขาสามารถวางหัวใจที่เหนื่อยล้าลงเพื่อพักผ่อนให้เต็มที่ และกลับไปเผชิญโลกภายนอกต่อไป
ข้อนี้ไม่ได้แปลว่า ผู้ใหญ่ต้องเห็นด้วยกับทุกสิ่งที่เด็กทำ ขอเพียงรับฟังเขาให้จบ ไม่ตัดสินสิ่งที่เขาพูด และนำเสนอความคิดในมุมมองเรา โดยไม่เน้นใช้อารมณ์ แต่ใช้เหตุผลเป็นหลัก
*ถ้าหากไม่พร้อมจะพูดคุยในประเด็นที่อ่อนไหว เช่น ความเชื่อ ศาสนา การเมือง และหัวข้ออื่น ๆ การไม่พูดเลยอาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการประทะ และทำร้ายจิตใจซึ่งกันและกัน*
เด็กทุกคนเกิดมามีความแตกต่างกัน และเขาเกิดมาเพื่อเป็นตัวเขาเอง เราในฐานะพ่อแม่และผู้ใหญ่สามารถเตรียมความพร้อมให้กับเขาได้ด้วยการสร้างสายสัมพันธ์ และสอนเขาในสิ่งต่าง ๆ ตามวัยที่เหมาะสม นอกจากนี้เป็นส่วนของเด็ก ๆ ที่จะเติบโตเป็นตัวเขาในแบบที่เขาเป็น
นอกจากปัจจัยสี่ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่พัก และยารักษาโรค แล้ว บ้านควรเป็นที่ ๆ มอบความรักให้กับเด็กได้ ผ่านการแสดงออกทางความรัก การสัมผัสด้วยความรัก การกอด การให้กำลังใจ และการเป็นห่วงเป็นใย
เมื่อเด็กทำสิ่งที่ไม่เหมาะสม บ้านควรเป็นพื้นที่แรกท่ีสอนเขาว่า สิ่งที่ถูกควรทำอย่างไรและให้อภัยเมื่อเขาทำสิ่งที่ผิดพลาดไป
เมื่อเราเตรียมความพร้อมเขามาตั้งแต่วัยเยาว์ และสร้างสายสัมพันธ์มาอย่างแน่นแฟ้น เราไม่ควรหวาดวิตกที่จะต้องปล่อยมือเขาไปในวันที่เขาจะต้องเติบโตก้าวไปสู่โลกภายนอกด้วยตัวเขาเอง วันนั้นเรามีหน้าที่เชื่อมั่นในตัวเขา และเฝ้าดูเขาผลิดอกออกผล
เราทุกคนสามารถเป็น “บ้านที่ปลอดภัยทางกายใจ” ให้กับใครสักคนได้ และถ้าวันใดเราได้มีโอกาสดูแลเด็ก ๆ อย่าลืมที่จะมอบความรักให้กับเขา การสัมผัสด้วยรักอย่าง “การกอด” มีพลังที่วิเศษที่เหลือเชื่อ เพียงอ้อมกอดธรรมดา สามารถทำให้หัวใจที่บอบช้ำค่อย ๆ ได้รับการเยียวยาได้ทีละน้อย